จริงๆ ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี่ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ครับ แต่เขียนค้างไว้ ตอนนี้เลยรีบกลับมาเขียนใหม่ ก่อนกระแสมันจะซาเสียก่อน
ดูจากหัวเรื่องแล้ว ก็คงเดาได้ไม่ยากหรอกครับ ว่าผมไปดูภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter and the Half-Blood Prince มาแล้ว
ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนเลยว่า ผมเองอ่านหนังสือชุดนี้จบทุกเล่ม ดังน้ันจะให้พยายามทำตัว หรือลองมองแบบคนยังไม่รู้เรื่องราวมาก่อน ยากมากครับ
How does it feel, when you see Ginny and Dean? I see how you look at her.
It feels like this.
เข้าใจว่า คนหลายๆ คนที่อ่านหนังสือ อาจจะไม่ประทับใจเท่าไหร่ที่หนังเก็บรายละเอียดในหนังสือค่อนข้างน้อย แต่ผมรู้สึกว่า มันไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ จากการดูภาคที่ผ่านๆ มา พบว่า มันไม่ใช่เรื่องของตัดเยอะตัดน้อย แต่เรื่องของเอาอะไรมาเล่น มานำเสนอมากกว่า อย่างสองภาคแรก ดูแล้วก็รำคาญที่มันตัดๆ แต่พอถึงภาคสาม (Prisoner of Azkaban) ทั้งตัดทั้งเปลี่ยนไปมากกว่าเดิมอีก แต่สนุกว่ะ
สำหรับหนัง Half-Blood Prince นี่ บางคนบอกว่าเป็นภาคที่ดีที่สุดตั้งแต่ทำมา ส่วนอีกหลายคนบอกว่าเป็นภาคที่ดีอันดับสอง (รองจาก Prisoner of Azkaban) สำหรับผมก็พอจะเห็นด้วยกับข้อหลังครับ และเป็นภาคที่อยากดูอีกจริงๆ
อย่างแรกที่ผมชอบเลยคือ ผมว่าการนำเสนอในหลายๆ ฉากของภาคนี้สวยงดงามครับ ทั้งตัวฉากที่มองเห็น และวิธีการนำเสนอที่ทำให้รู้สึกว่า งดงามดี ฉากเหล่านี้ก็อย่างเช่น ฉากต้องคำสาปของแคที เบลล์ ฉากดวลกันในห้องน้ำระหว่างแฮร์รีกับเดรโก ฉากที่ดัมเบิลดอร์ไปพบทอม ริดเดิลตอนเด็ก หรือแม้แต่ฉากที่ดัมเบิลดอร์รออยู่ที่สถานีรถไฟแล้วมีฉากหลังเป็นโฆษณา และอีกหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะทุกฉากหลังดัมเบิลดอร์ตาย (ฉากทำลายฮอลล์ของเบลลาทริกซ์ ฉากไล่ตามสเนปของแฮร์รี ฯลฯ)
อย่างที่สอง ผมชอบประเด็นที่เลือกเอามาเล่น เพราะโดยหลักๆ แล้ว ตัวเรื่องภาคนี้เป็นเหมือน transition ก่อนเข้าสู่สงครามเต็มตัวในภาคสุดท้าย (หรือถ้าเป็นหนังก็ต้องบอกว่าสองตอนสุดท้าย) ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้เรื่องฮอร์ครักซ์ ส่วนประเด็นจบในตัวอย่างใครเป็น Half-Blood Prince ก็ไม่น่าจะเอามาทำอะไรได้มากเท่าไรนัก การใส่ประเด็นเรื่องความรักในโรงเรียนน่าจะเป็นสิ่งที่ผมชอบครับ
ส่วนอย่างอื่นๆ ที่ชอบ ก็อย่างการทำให้หนังออกมืดๆ มุกตลกต่างๆ ที่ไม่มีในหนังสือ เป็นต้น
มาถึงส่วนที่ไม่ชอบบ้าง อย่างแรกที่ผมรู้สึกตอนออกมาคือ ผมรู้สึกว่าช่วยครึ่งแรกของหนังไม่ได้ทำให้ประเด็นไปถึงจุดสุดสักเท่าไหร่ จริงๆ ก็อธิบายไม่ถูก แต่ผมรู้สึกว่า หนังไปค่อนข้างเร็ว (ทั้งที่ก็ยาวสองชั่วโมงครึ่งแล้ว) ซึ่งจริงๆ ถ้านานกว่านี้อาจจะทำให้หนังยืด แต่ผมก็รู้สึกว่ามันเร็วอยู่ดี (ความรู้สึกส่วนตัว) อย่างตอนนี้ผมนึกไม่ออกเลยว่า ตกลงทำไมรอนถึงไปคบกับลาเวนเดอร์ให้ทะเลาะกับเฮอร์ไมโอนีเล่นๆ? (จริงๆ ไม่อยากเทียบกับในหนังสือ แต่อย่างประเด็นนี้ในหนังสือ รอนทะเลาะกับเฮอร์ไมโอนีก่อน จึงไปประชดด้วยการคบกับลาเวนเดอร์)
อีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าผมไม่ค่อยได้ดูหนังแนวแฟนตาซีหรือเปล่า (เพราะเรื่องก่อนหน้า ก็น่าจะเป็นแฮร์รี่ภาคก่อนเลย) ผมเลยรู้สึกไม่ค่อย “อิน” หรือรู้สึกว่า เหตุการณ์ตรงหน้ากำลังเกิดขึ้นจริงๆ
อย่างสุดท้าย ผมไม่รู้ว่าทีมสร้างวางแผนภาค 7.1 กับ 7.2 ไว้ยังไง แต่ผมรู้สึกว่า ประเด็นของฮอร์ครักซ์นั้น ยังปูไว้ไม่เยอะเลย อาจจะต้องรอดูภาค 7.1 ว่า จะมีอธิบายเพื่มหรือเปล่า
—
จะมีแต่คนที่ฉันรักและรักฉัน
มีแต่เสียงหัวเราะเบิกบานมีความสุข
ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย ไม่มีใครเป็นทุกข์
มีแต่ พ่อ แม่ และลูกน้อยกลอยใจ
อีกอย่างหนึ่งที่ผมได้ชมไปในวันเดียวกัน คือละคร แม่นาคเดอะมิวสิคัล ฉบับของดรีมบ็อกซ์ครับ
ผมเองไม่ค่อยจะได้ดูละครเวที โดยเฉพาะละครเพลงสักเท่าไรนัก ดังนั้นโดยประสบการณ์ก็จะไม่สามารถเทียบกับเรื่องอื่นๆ ได้เลย
ผมเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องแม่นาคมาก แม้ว่ามันจะมีเป็นละครเป็นหนังเป็นอะไรต่อมิอะไรมาไม่รู้กี่อย่าง เพราะผมเองไม่ใคร่จะชอบเรื่องราวแนวสยองขวัญมาตั้งแต่เด็กๆ ก็จำได้แค่ว่า แม่นาคแต่งงานกับพ่อมาก แล้วแม่นากตายทั้งกลม พ่อมากกลับมาตอนแรกไม่รู้ พอรู้ก็หนีไป แม่นาคก็อาละวาดหลอกหลอนไปทั่ว
ในใจอาจจะเผลอคิดว่า เรื่องแบบนี้ก็คงไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มาก แต่พอดูแล้ว ต้องบอกว่า สุดยอดตั้งแต่บทเลยทีเดียว
แม่นาคฉบับนี้ พยายามนำเสนอออกมาในรูปแบบของดรามา ขับเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างคนหลายๆ คน และบริบททางสังคมในยุคนั้น เราจึงเห็นภาพของแม่นาคในฐานะลูกสาวผู้สูงศักดิ์ที่หนีตามผู้ชายมา ทั้งที่อ่านออกเขียนได้ แต่กลับโดนดูถูกด้วยความเป็นผู้ดีทำงานอะไรไม่เป็น และปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากความเกลียดชังของคนทั้งนั้น
นักแสดงแต่ละคนเรียกได้ว่า คุณภาพดีครับ จะมีลงมาหน่อยก็คงเป็นพระเอก น็อต วรฤทธิ์ ที่โดนระดับเทพประกบแล้วเสียงดูด้อยไปอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเพียร์ซ บรอสแนนใน Mamma Mia ฉบับภาพยนตร์
ฉากหลายฉากชอบมาก แน่นอนว่าฉากหนึ่งก็ต้องเป็นฉากเรือแห่งมรณา ที่เป็นเรือมารับนาคไปหลังจากตาย แต่นาคบอกว่า “ข้ายังไม่พร้อมจะตาย” ส่วนอีกฉากก็ต้องเป็นฉากก่อนจบ ที่พ่อมากกับแม่นาคยืนกันคนละฝั่งสะพาน
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายฉาก อย่างฉากที่ผัวเมีย หมอตำแยกับสัปเหร่อ เถียงกันว่า ใครสำคัญกว่าใคร แล้วสรุปได้ว่า ก็สำคัญทั้งคู่ คนละเวลา ไม่ต้องมาเจอกัน ดูทีแรกก็เหมือนแค่ฉากดำเนินเรื่องธรรมดา เอาตัวละครออกมาให้เห็น
แต่พอมาถึงฉากฝังศพแม่นาคที่ตายตอนคลอดลูก ถึงได้ร้องออกมาว่า แล้วทำไมมันถึงต้องมาเป็นเวลาเดียวกัน ฟังแล้วจี๊ดเลย
นอกจากนี้ผมยังพยายามสังเกตส่วนอื่นที่พอจะรู้เรื่องนิดๆ หน่อยๆ อย่างผมเองเป็นฝ่ายแสงในละครของบีอีเมื่อปีก่อน ก็พอจะได้ผ่านตางานแสงมาบ้าง ก็ลองสังเกตดู ผมไม่มีความรู้พอหรอกว่า แบบนี้มันดีหรือไม่ดี เพราะก็ไม่เคยดูละครมาเท่าไหร่ แต่เห็นแล้วชอบมาก (ยกเว้นฉากตอนเช้ามืด ที่ผมดูแล้วรู้สึกว่าเป็นหัวค่ำ – -“)
หรืออย่างดนตรี ที่เคยก็เล่นมาบ้าง ก็บอกรู้สึกว่า สกอร์เขียนมาดีมากเหมือนกัน
โดยรวมแล้ว ถึงฉากอาจจะไม่เน้นอลังการอะไรมาก มีลูกเล่นมาให้พอควรอย่างฉากหมอตำแยจมน้ำ แต่ด้วยคุณภาพนักแสดงและบทแล้ว ก็ต้องบอกว่าชอบมากๆ
ถ้าเก้าอี้สบายกว่านี้จะดีสุดๆ (ฮา)
6 Comments